วารีบำบัด รักษาโรคกรดไหลย้อน ท้องอืดเฟ้อ จุกเสียด ด้วยวารีบำบัด
สาเหตุโรคกรดไหลย้อน
อาการแสบร้อนทรวงอก (Heart burn) หรือ กรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux) คือสภาวะที่ลมหรือแก๊สในลำใส้มาก จนอัดให้น้ำย่อย หรือกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร เกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีลมในระบบย่อย และเกิดกรดเกินในกระเพาะ และในรายที่หูรูดปลายหลอดอาหารหย่อนยาน จึงไม่สามารถปิดกั้นกรดส่วนเกินนี้ได้ กรดจึงไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ภาวะที่มักทำให้อาการกำเริบ เช่น กินอาหารมากเกิน อาหารย่อยยาก สูบบุหรี่จัด ดื่มกาแฟ-แอลกอฮอล์มาก กินยาที่กัดกระเพาะ เช่น แอสไพริน ยาแก้ปวด มีภาวะอ้วนลงพุง ท้องผูก ยังนั่งตัวงอหรือนอนราบหลังอาหาร หรือเครียดอาการโรคกรดไหลย้อน
มีอาการอับเสบ ปวดแสบปวดร้อนกลางอก จุกในลำคอ แน่นท้อง แน่นหน้าอก ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว ขมในปาก กลืนอาหารลำบาก บางครั้งขึ้นมาถึงคอเปรี้ยวในคอ (เรอเปรี้ยว) คลื่นใส้ อาเจียรได้ มักเกิดเวลาอิ่ม อาจทำให้ เจ็บคอ กล่องเสียงอักเสบ ไอ เสียงแหบได้การรักษาโรคกรดไหลย้อน ท้องอืดเฟ้อ จุกเสียด ด้วยวารีบำบัด
โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ยากที่จะรักษาโดยการใช้ยา แต่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต และการรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ นอกจากนี้การใช้วารีบำบัด สามารถช่วยลดอาการทรมาณ และช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลได้ดียิ่งขึ้น1. เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเกิดอาการกรดไหลย้อน ให้ดื่มน้ำเปล่า เพื่อลดกรด มีการวิจัยแล้วว่า น้ำสามารถลดกรดได้เร็วกว่ายาลดกรด โดยน้ำใช้เวลาเพียง 1 นาที แต่ยาลดกรดต้องใช้เวลาถึง 2 นาทีหรือมากกว่าเพื่อลดกรดได้ในปริมาณเท่ากัน อย่างไรก็ตามน้ำจะมีฤทธิ์ต่อเนื่องเพียง 3 นาที แต่ยาลดกรดทำได้มากกว่า ซึ่งการที่น้ำมีฤทธิ์ลดกรดสั้นก็มีข้อดี เพราะกรดในกระเพาะนั้นก็มีความจำเป็นในกระบวนการย่อยอาหาร ไม่มีหรือมีน้อยเกินไปก็ย่อมไม่ดี ดังนั้นการทานยาลดกรดที่มีฤทธิ์นานย่อมต้องใช้เท่าที่จำเป็นและควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
2. ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ แนะนำ 1 แก้วหลังจากอาหาร 1 ชั่วโมง และอีก 1 แก้วหลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมง การดื่มน้ำดังกล่าว จะช่วยลดกรด น้ำย่อย น้ำเมือก และทำให้ของที่เรารับประทานรวมทั้งน้ำย่อยและลมไหลลงสู้ลำไส้เร็วขีัน ทำให้ท้องว่างเร็ว ขับลมในกระเพาะ จึงช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการไหลย้อน ข้อสำคัญอย่าดื่มน้ำแบบข้าวคำน้ำคำ หรือดื่มหลังทานข้าวทันที เพราะจะไปลดประสิทธิภาพการทำงานของน้ำย่อย
ที่สำคัญควรดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำในอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงน้ำเย็นให้เด็ดขาด3. นั่งแช่น้ำร้อนสลับน้ำเย็น เพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำใส้ โดยต้องมีอ่าง 2 ใบ ขนาดใหญ่พอที่จะนั่งได้และจุน้ำได้ถึงระดับสะดือ ใบหนึ่งใส่น้ำอุ่นจัดร้อนเท่าที่สามารถทนได้ และอีกใบหนึ่งใส่น้ำเย็นจัด (น้ำใส่น้ำแข็ง อุณหภูมิประมาณ 4 C) วิธีการคือ ให้นั่งในอ่างน้ำร้อนก่อนแล้วจุ่มเท้าลงในอ่างน้ำเย็น ทำอย่างนี้ 3 นาที แล้วสลับไปนั่งในอ่างน้ำเย็นแต่จุ่มเท้าในอ่างน้ำร้อน 2 นาที ทำทั้งหมด 3 รอบ (จบด้วยการนั่งอ่างน้ำเย็น) เสร็จแล้วให้เช็ดตัว ถูผิวหนังด้วยผ้าขนหนูแรงๆ
4. บรรเทาอาการบริเวณท้องด้วยการประคบหน้าท้องด้วยผ้าชุบน้ำมันละหุ่ง โดยหาผ้าขนหนูขนาดเล็กพับให้ได้ขนาดพอดีท้อง (ปรมาณ 16 cm x 30 cm) ชุบน้ำมันละหุ่งพอหมาดๆ แล้ววางบนท้อง แล้วใช้พลาสติกคลุม แล้ววางทับด้วยกระเป๋าน้ำร้อนหรือแผ่นผ้าร้อนทบหนาๆ ให้ระดับความร้อนรู้สึกอบอุ่นสบาย ปล่อยทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง จะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และน้ำมันละหุ่งช่วยลดอาการไม่สบายท้อง กระตุ้นการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี
5. กรณีลำใส้ไม่เคลื่อนตัว ปวดท้องจนเกร็ง อาหารไม่ย่อย บรรเทาอาการได้ด้วยการประคบร้อนเปียกที่หน้าท้อง โดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนวางที่หน้าท้อง หรือนั่งแช่น้ำร้อน (น้ำระดับสะดือ) เพื่อช่วยเสริมกำลังและการทำงานของลำใส้
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต
การรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยวารีบำบัด ยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้คือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต1. ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรลดน้ำหนัก เพราะคนอ้วนจะมีพื้นที่ในช่องท้องน้อย ความดันในช่องท้องสูงทำให้ กรดไหลย้อนได้มาก
2. ไม่รับประทานอาหารจนแน่นท้อง ให้แค่พออิ่ม หรืออาจแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ ทานน้อย แต่บ่อยครั้ง และควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวให้ละเอียด จะช่วยให้กระบวนการย่อยอาหารมีประสิทธิภาพ
3. หลังรับประทานอาหารเสร็จ ไม่นอนทันที ควรทิ้งระยะอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้อาหารย่อยให้หมดก่อน
4. หลังทานอาหารเสร็จ ถ้าเป็นไปได้ ให้เดินเล่น หรือเดินแกว่งแขนสัก 20-30 นาที อย่าเพิ่งนั่งหรือนอน การออกกำลังกาย จะช่วยทำให้มีการเคลื่อนไหวของกระเพาะและลำไส้ ช่วยให้การลำเลียงอาหารไปยังลำใส้ได้เร็วขึ้น
5. งดบุหรี่ เพราะจะกระตุ้นหลั่งกรดในกระเพาะมากขึ้น มีน้ำลายน้อยลง และยังลดแรงบีบตัวของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง กรดจึงมีโอกาสไหลย้อนกลับมากขึ้น
6. หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา โซดา เนื่องจากมีแก๊สที่ทำให้แรงดันในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น จะไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารเปิดออก ทำให้เยื่อบุหลอดอาหารส่วนล่างขยายได้ง่ายขึ้น ทำให้กรดจากกระเพาะอาหารขึ้นมาที่หลอดอาหารได้ง่าย
7. หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่แน่นเกินไป โดยเฉพาะรอบเอวและช่วงท้อง เพื่อลดแรงกดที่กระเพาะ ไม่ให้ความดันในกระเพาะเพิ่มขึ้น
8. งดอาหารมัน ๆ อาหารทอด อาหารที่ปรุงด้วยหอมหัวใหญ่ดิบ กระเทียม มะเขือเทศ ช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม เนย ไข่ สะระแหน่ รวมทั้งอาหารที่มีรสเผ็ด เปรี้ยว และเค็มจัด เพราะมีแก๊สมาก รวมทั้งไม่ควรเติมน้ำส้มสายชูลงในอาหาร เพราะยิ่งจะเพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร ควรเปลี่ยนมาทานอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อย่างปลา ไก่ และ อาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่น ธัญพืช ผัก ผลไม้
9. เลี่ยงการนอนตะแคงขวา เพราะท่านี้จะทำให้กระเพาะอยู่เหนือหลอดอาหารอาจทำให้อาการกำเริบได้ และควรนอนยกหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยอาจนอนบนหมอน 2 ใบ เพื่อไม่ให้กรดไหลเอ่อขึ้นมาที่คอ หากหาเตียงนอนแบบที่ปรับความลาดเอียงได้มาใช้ ก็จะดีมาก
10. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ พยายามไม่เครียด เพราะความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีกรดมากเช่นกัน
สมุนไพรรักษาโรคกรดไหลย้อน ท้องอืดเฟ้อ
ขิง , ขมิ้นชัน , กระเพรา มีสรรพคุณช่วยในการ ขับลม ปรับสมดุลกรดในกระเพราะ และช่วยเร่งการย่อยอาหาร เราสามารถหาเป็นแคปซูลมากินเพื่อความสะดวก หรือทำเป็นชาสมุนไพรไว้ดื่มก็ได้ จำไว้อย่างหนึ่งว่ายาสมุนไพรไทย จะต้องใช้เวลารักษานานถึงจะหาย ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ ปกติประมาณ 1 เดือน1. นำใบกะเพรา (ถ้าเป็นกระเพราแดงจะดีมาก) หรือ ขิงแก่ หรือ ขมิ้นชัน (ฝานบางๆ) ประมาณ 1 ขีด มาล้างให้สะอาด สมุนไพรเหล่านี้มีฤทธิ์ร้อน หากกินแล้วรู้สึกร้อนเกินไปจนทนไม่ได้ ให้ลดปริมาณสมุนไพรลงได้ แล้วจึงค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นเมื่อเราคุ้นเคยแล้ว
2. ใส่ลงไปในน้ำ 2 ลิตร (ปริมาณนี้จะพอเพียงสำหรับดื่มใน 1 วันพอดี)
3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 – 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที
4. ดื่มครั้งละ 1 แก้ว (250 cc) หลังอาหาร 1 ชั่วโมงขึ้นไป ดื่มแทนน้ำตลอดวัน
5. สามารถดื่มได้ตอนที่เย็นแล้วก็ได้ โดยไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ
จดไว้ : อาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร หากมีอาการ จุกแน่นหน้าอกด้านซ้าย เหมือนจะเป็นลม ปวดยอดอกหรือลิ้นปี่ ทั้งเวลาหิวและอิ่ม ปวดลิ้นปี่ร้าวไปหลัง ปวดบวมในท้อง อาการไม่ทุเลาใน 2 สัปดาห์ ถือว่าเป็นอาการผิดปกติค่อนข้างร้ายแรง จึงควรพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยละเอียด