ท่านำนิ้วมือมาแตะกันเป็นรูปภูเขา มักพบบ่อยในผู้บริหาร หรือประธานเมื่ออยู่ในที่ประชุม หรือตอนหัวหน้าที่คุยกับลูกน้อง มีความหมายว่าอย่างไร

ท่านั่งข้อเท้าขัดกัน เราอาจจะพบได้บ่อยๆ ในกลุ่มคนที่รอพบแพทย์ที่คลินิค หรือคนที่รอเข้าสัมภาษณ์งาน หรือคนที่ไปนั่งบนเก้าอี้ทำฟัน อาจจะเผลอนอนเอาข้อเท้าขัดกันโดยไม่รู้ตัว ท่านี้มีความหมายว่าอย่างไร

บ่อยครั้งที่การเจรจาต่อรองต้องยุติลง โดยไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะต่างฝ่ายต่างละเลยอารมณ์ความรู้สึกของกันและกัน ท่าประสานมือกันแน่น เป็นอีกท่าทางหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ของคนได้

คนเรามักจะปกปิดอารมณ์ของตนเอง แต่เสียงหายใจ ก็สามารถบ่งบอกอารมณ์ของคนเราในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่า เวลาอารมณ์ของคุณเปลี่ยนแปลง คุณมีการเปลี่ยนแปลงการหายใจอย่างไร

เวลาที่คุณเจรจา หรือต่อรองทางการค้า หรือพนักงานขายที่กำลังเสนอขายสินค้า หากเห็นคู่สนทนาปรับเปลี่ยนท่านั่ง มาอยู่ในท่านั่งตรงขอบเก้าอี้ มีความหมายอย่างไร มาดูกัน

ท่าทางนี้ คุณอาจจะเคยพบเห็นได้ในนักกีฬา ในที่ประชุม หรือนักเรียนที่ลองดีกับครู มีความหมายอย่างไร มาลองดูกัน

เวลาเราถามคำถาม หรือคุยกับใคร เคยสังเกตหรือไม่ว่า เวลาเขานึกคิด คนส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวนัยน์ขึ้น หรือบางทีก็มองเพดาน คุณสงสัยหรือไม่ว่า เขากำลังคิดในเชิงโกหก แต่งเรื่อง หรือพูดความจริง

คุณอาจจะเคยดูนักข่าวสัมภาษณ์นักการเมืองบางประเทศทางทีวี แล้วนักการเมืองชอบดึงหูตอนตอบคำถาม คุณคิดว่ามันมีความหมายซ่อนอยู่หรือไม่ วันนี้เรามาลองฟังการวิเคราะห์จากท่าทางกันดู

ดวงตา เป็นหน้าต่างของหัวใจ คนที่พูดโกหกมักจะไม่สบตา หลบตาผู้ฟัง การถูตาก็มีความหมายในทำนองเดียวกัน

เราสามารถสังเกตุความน่าจะเป็นของการพูดโกหก ได้จากจมูก ในนิทานเรื่องพินอคคิโอ เมื่อพินอคคิโอพูดโกหก จมูกของพินอคคิโอจะยาวขึ้น เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อคนเราพูดโกหกก็ส่งผลมาถึงจมูกเช่นเดียวกัน

เวลาที่คุณพูดอะไรซักอย่าง คุณย่อมอยากรู้ว่าผู้ฟัง ตั้งใจฟัง มีความคิดที่คล้อยตาม หรือ กำลังคิดคัดค้านสิ่งที่กำลังพูดอยู่ หากผู้ฟังมีลักษณะตอบสนองในทางลบ จะได้หาทางแก้เกม ก่อนที่จะสายเกินไป

หากคุณเป็นนักบรรยาย เช่นเป็นครู หรือวิทยากร คุณย่อมอยากรู้ว่าผู้ฟังนั้น ได้กำลังสนใจในสิ่งที่คุณกำลังพูดหรือบรรยายอยู่หรือไม่เพียงใด เพื่อจะได้ประเมิณประสิทธิภาพของการนำเสนอของคุณเอง แทนที่จะคอยถามผู้ฟังว่า "เข้าใจมั้ย" (ซึ่งจะได้รับคำตอบว่า "เข้าใจ" เสมอนั่นแหละ) เรามาใช้วิธีสังเกตจากท่าทางดีกว่า