เทคนิค Palm Mute และ Dead Note เป็นเทคนิคการสร้างเสียงที่สั้นห้วน ซึ่งมักใช้ในส่วนหนึ่งของการเล่นตีคอร์ด เพื่อให้เกิดเป็นการขั้นจังหวะที่ชัดเจน คลายกับการเคาะเครื่องเคาะจังหวะ

Slide หรือการรูด คือการรูดนิ้วมือซ้าย (ที่กดเฟร็ต) ไปตามเฟร็ตต่างๆบนคอกีตาร์ ทำให้ระดับเสียงค่อยๆสูงขึ้น (รูดไปเฟร็ตที่สูงกว่า) หรือค่อยๆต่ำลง (รูดไปเฟร็ตที่ต่ำกว่า) ซึ่งเสียงของการเล่นแบบ Slide จะให้เสียงที่มีการเปลี่ยนระดับเสียงที่ต่อเนื่อง คล้ายเสียงหวีดหวิว ซึ่งเทคนิคนี้นิยมใช้กันมากในดนตรีแนว Blues

ตามหลักการทางฟิสิกส์นั้น กล่าวไว้ว่า เสียงทุกชนิดล้วนประกอบขึ้นจาก Hamonic ดังนั้นเสียงสายกีตาร์ที่เกิดจากการดีดโดยปรกติที่เราได้ยินนั้น แท้จริงแล้วประกอบด้วยเสียง Harmonic หลายๆระดับเสียงสอดประสานกัน แต่เราได้ยินเป็นเสียงอิ่มๆเพียงเสียงเดียว ลักษณะของเสียง Harmonic จะออกแนวใสกังวานคล้ายกับเสียงเคาะโลหะ หรือเคาะระฆัง

Trill หรือการรัวเสียง เป็นเทคนิคที่เกิดจากการเล่น Hammer-on และ Pull-off ระหว่าง 2 โน้ตซ้ำไปซ้ำมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจำนวนรอบของการรัวหรือการเล่น Hammer-on และ Pull off จะแล้วแต่ความเหมาะสมในเพลง

เทคนิค Hammer On/Pull Off หรือบางทีเรียก Ligado หรือ Slur คือเทคนิคในการเล่นเสียงโน้ตตั้งแต่ 2 โน้ตขึ้นไป โดยการดีดสายเพียงครั้งเดียว ซึ่งจะให้เสียงของการเปลี่ยนโน้ตที่ต่อเนื่องราบรื่น ซึ่งเทคนิค Hammer On และ Pull Off นี้ ถือได้ว่าเป็นเทคนิคที่ต้องใช้อยู่ตลอด ในการเล่นทำนองเพลงด้วยกีตาร์ ซึ่งสองเทคนิคนี้ให้ผลลัพธ์ของเสียงแบบเดียวกัน แต่ทิศทางตรงกันข้ามกัน และใช้ต่างสถานะการณ์กัน

Vibrato หรือ เสียงสั่น คือเสียงที่มีระดับเสียงสูงขึ้นต่ำลงต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วเป็นระลอกๆ คล้ายเสียงลูกคอของนักร้องลูกทุ่ง ซึ่งปรกติระยะห่างของระดับเสียงจากการสั่นมักไม่เกิน 1 SemiTone โดยเราสามารถใส่เสียง Vibrato ลงไปในทำนองเพลงเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ โดยเฉพาะช่วงที่เล่นเสียงโน้ตทิ้งช่วงยาวๆ

Bend หรือ การดันสาย คือเทคนิคที่ช่วยให้เราเปลี่ยนระดับเสียงของตัวโน้ตอย่างต่อเนื่อง โดยที่นิ้วมือซ้ายยังกดอยู่ที่เฟร็ตเดิม ซึ่งระดับของการเปลี่ยนเสียงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของสาย และชนิดของกีตาร์ โดยปกติจะเปลี่ยนได้ประมาณ 1-2 SemiTone หรือกีตาร์บางตัวอาจจะได้ถึง 4 SemiTone

การดีดด้วยนิ้ว หรือ การเกาสาย (Finger Style หรือบางทีเรียก Finger Picking) เรามักเรียกการเล่นแบบนี้ว่า”การเกากีตาร์” ซึ่งปกติเราจะใช้นิ้วสำหรับเกาสายทั้งหมด 4 นิ้ว คือ โป้ง , ชี้ , กลาง , นาง ส่วนนิ้วก้อยบางครั้งก็นำมาใช้ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่นิยมนัก

การดีดสายกีตาร์ กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้การดีดสายเพื่อให้เกิดเสียงเป็นหลัก ซึ่งจะมีรูปแบบในการดีด 2 แนวคือ ดีดโดยใช้ปิ๊ค และ ดีดโดยใช้นิ้ว หรือการเกา ซึ่งทั้งสองแบบนั้นต่างมีจุดเด่นและจุดด้อยในคนละด้านกัน ดังนั้นนักกีตาร์ที่ดี ควรหัดเล่นให้ได้ทั้งสองแบบ

การกดสายแบบทาบ (Barre หรือ Bar) คือการกดสายหลายสายพร้อมกันโดยใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียว ซึ่งปกติจะใช้นิ้วชี้ในการทาบเป็นหลัก แต่บางครั้งเราก็สามารถใช้นิ้วก้อยทาบได้เช่นเดียวกัน การกดสายแบบทาบนั้นต้องใช้เวลาในการฝึกฝนกำลังของนิ้วพอสมควร จึงจะสามารถกดได้โดยเสียงไม่บอด ซึ่งการกดสายแบบทาบมีลักษณะการกดอยู่ 2 ลักษณะคือ

การกดสายบนเฟร็ตบอร์ด (Fretboard) นั้น เราทำเพื่อควบคุมระดับเสียงสูง-ต่ำ ที่จะเกิดขึ้นจากการดีดสาย ซึ่งการกดสาย นั้นปกติเราจะใช้นิ้วมือข้างซ้ายในการกด โดยใช้นิ้ว 4 นิ้วคือ ชี้ , กลาง , นาง , ก้อย เป็นหลัก และจะใช้นิ้วโป้งเป็นตัวดันคอกีตาร์ให้ชนกับนิ้วที่ใช้กดสาย แต่บางครั้งอาจจะใช้นิ้วโป้งในการกดสายด้วย ซึ่งลักษณะการกดสายเราจะกดคราวละหลายสายเพื่อสร้างเสียงประสาน หรือจะไล่กดทีละสายเพื่อเล่นเป็นทำนองก็ได้ โดยสำหรับการกดพร้อมกันคราวละหลายสายนั้น บางครั้งเราจะกดในลักษณะที่เรียกว่า”ทาบ” (ซึ่งจะกล่าวต่

ถึงแม้ว่าเราจะสามารถตั้งเสียงให้กับสายกีตาร์ได้จากอุปกรณ์สำหรับการเทียบเสียงทั่วไป แต่บางโอกาส เราอาจจำเป็นต้องตั้งสาย โดยไม่มีอุปกรณ์สำหรับช่วยในการตั้งสาย หรือบางครั้งเราอาจต้องการตั้งสายเพียงบางสายที่เพี้ยนไป โดยไม่ต้องการเทียบเสียงใหม่ทั้งหมด เราก็สามารถใช้วิธีการตั้งสายแบบสัมพันธ์เข้ามาช่วยได้